แผลโพรงลึก หรือแผลเบาหวานที่นิ้วหรือเท้า
อันนี้เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของผมที่ดูแลพ่อมา พ่อผมเป็นแผลที่ง้วมนิ้วชี้และนิ้วกลาง ตอนแรกมันเหมือนกับ ผิวหนังบางๆ แต่เนื้อข้างในโดนกัดกินอยู่ พอผ่านไปซักระยะ ผิวหนังเปิดออก เป็นแผลลึกพอสมควร ด้วยความที่พ่อของผมนั้นเป็นผู้ป๋วยนอนติดเตียง ทำให้พาไปหาหมอบ่อยไม่ได้ แล้วตอนนั้นอยู่ในช่วงโควิท-19 ทำให้การพาพ่อผมไปหาหมอนั้นเป็นเรื่องยากมาก ทำให้ต้องรักษาเองที่บ้าน ตอนแรกแผลลึกแค่ 1 มิล พอผ่านไปเริ่มมีหนองเหลือง ผมจึงขุดแผลออก แล้วใส่ยาตามที่เภสัชสั่ง และใช้ยาทาแผนโบราณด้วย มันได้ผล แต่แผลอยู่ลึกเกินไปทำให้ยาลงไปไม่ถึงบาดแผลทำให้แผลที่ติดเชื้ออยู่ด้านในยิ่งติดเชื้อหนัก จนผมไปซื้ออย่าฆ่าเชื้อ(การกินยาฆ่าเชื้อควรระวัง ต้องปรีกษาแพทย์ก่อนที่จะรับประมานเข้าไป ถ้าเกิดกินแล้วต้องกินให้หมด ถ้ากินไม่หมดอาจทำให้ดื้อยาได้แน่นำไว้นะคับ)มาให้พ่อกินมันดีขึ้น แต่วันมันมีผมข้างเคียงที่หนักมาก
- ท้องเสีย
- ปัสสาวะน้อยลง
- ท้องอืด (ท้องใหญ่มากเท่าบ้าน)ต้องกินยาแก่ท้องอืด
- เวียนหัวและปวดหัว
- ซึมลง
- อาหารไม่ย่อย
- หายใจติดคั้น หายใจไม่ออก
จนสุดท้าย ผมทนไม่ไหว มันทำใจไม่ได้เลย ในหัวคิดแต่ว่า พ่อต้องตัดนิ้วแน่เลย เราทำอะไรผิตหรือเป่า พอให้หมอดูก็ให้นอนโรงพยาบาลครับคือทำใจไว้แล้วว่าตัดนิ้วแน่ๆเลย แต่ผลกับแย่ลงหนักกว่าเดิมจากการนอนโรงพยาบาล ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยนอนติดเตียงนั้น มีภูมิคุ้มกันที่ต่ำ ทำให้ทนต่อเชื้อโรค ที่โรงพยาบาลไม่ไหวทำให้ติดเชื้อหนักกว่าเดิม พ่อผมติดเชื้อหนักมาก ที่ ปอด กระเพาะอาหาร ทางเดินปัสสาวะ แล้วพ่อผมก็ทนไม่ไหว (อันนี้ทุกคนที่อ่านคงเข้าใจว่าตอนต่อไปเป็นยังไงนะคับผมไม่ค่อยยากที่จะเขียนมันซักเท่าไร)
แผลโพรงหรือเบาหวาน แผลที่พบในผู้ป่วยโรคเบาหวาน คุณหมอมักคอยกำชับให้ผู้ป่วยเบาหวานระมัดระวังการเกิดแผล โดยเฉพาะการเกิดแผลที่เท้า เพราะแผลในผู้ป่วยเบาหวานจะหายช้ากว่าแผลธรรมดาหรืออาจจะส่งผลให้ โดนตัดขาได้ถ้าดูแลไม่ดี โดยสาเหตุที่ทำให้แผลโพรงหรือแผลเบาหวานหายช้า มีหลายปัจจัยได้แก่
- ปลายประสาทเสื่อม ทำให้การรับความรู้สึกเจ็บปวดที่เท้าสูญเสียหรือลดลงไป ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานมักไม่หยุดใช้เท้าเนื่องจากขาดความรู้สึกเจ็บทำให้แผลลุกลามและติดเชื้อในที่สุด
- ความผิดปกติของหลอดเลือด เนื่องจากสภาวะแข็งตัวของหลอดเลือด ตีบหรือการอุดตันของหลอดเลือด ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเหวียนไปหล่อเลี้ยงบริเวณแผลได้เพียงพอทำให้การสมานตัวของแผลเป็นไปได้ช้า
- การติดเชื้อแทรกซ้อน แผลที่เท้าของผู้ป่วยเบาหวานมักเกิดการติดเชื้อร่วมด้วยอยู่เสมอทำให้แผลลุกลามมากขึ้น ยิ่งหากมีภาวะแทรกซ้อนทางประสาทและหลอดเลือดด้วยแล้ว โอกาสที่จะรักษาให้หายยิ่งยากมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้ผู้ป่วยต้องถูกตัดขา
การป้องกันการเกิดแผลเบาหวานหรือแผลโพรง
- รักษาความสะอาดอยู่เสมอ เช็ดมือและเท้าให้แห้ง ตัดเล็บมือ เล็บเท้าให้สั้น
- หมั่นตรวจบริเวณมือและเท้าอยู่เสมอ ที่ง้วมนิ้วมือ นิ้วเท้า และระหว่างเล็บ
- ทาครีมทั่วบริเวณเท้า เว้นบริเวณง้ามนิ้วเท้าไว้ เท้าของผู้ป่วยเบาหวานมักแห้งและแตกได้ง่าย
- สวมถุงเท้าอยู่บ้านทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อรักษาความชุ่มชื่นของเท้าและลดการเสียดสีที่เท้า แนะนำให้กลับตะเข็บถุงเท้าออกมาไว้ด้านนอกเพื่อไม่ให้เท้าเสียดสีกับตะเข็บถุงเท้าและเปลี่ยนถุงเท้าใหม่ทุกวัน
- หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่า ทั้งในบ้านและนอกบ้าน
- หลีกเลี่ยงการเดินบนพื้นที่ร้อน
- เลือกรองเท้าที่พอดี และรับน้ำหนักเท้าได้ รองเ้ท้าไม่ควรแข็งหรือนิ่มเกินไป และเลือกใช้แผ่นรองเท้าอีกด้วย
- ควบคุมระดับไขมันในเลือกให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- รักษาระดับน้ำในเลือดให้ดีที่สุดและปฎิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด
- งดสูบบุหรี่
วิธีการรักษา
- ก่อนทำแผลล้างมือให้สะอาด และใช้เจลล้างมือ
- ควรใช้แอลกอฮอล เช็ดรอบๆแผล แล้วใช้น้ำเกลือเช็ดที่ตัวแผลเบาๆ
- ใช้ยาทำแผลฉะเพราะ เช่น Fullext Ointment,Fucidin Cream,Intrasite Gel เป็นต้น
- ใช้ผ้าก๊อซปิดแผลหลายชั่น แล้วพันด้วยผ้าก๊อซอีกที่ (สำหรับแผลที่อยู่ตรงง้ามนิ้วไม่ต้องพันผ้า ก๊อซแผลมันจะอับและหายช้า)
- ให้แผลยกขึ้นสูง ตรงกับหัวใจ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะครับหวังว่าจะมีประโยชน์ไม่มาก็น้อย